Thursday 3 December 2015

Low Self Esteem : เมื่อการรับรู้คุณค่าในตนเอง ลดต่ำลงไป (1)


Part แรกขอเป็นการเล่าประสบณ์การตรงนะครับ 

Self-Esteem : (n.) confidence in one's own worth or abilities
   ผมเองก็ไม่ทราบคำแปลแบบเป็นทางการของคำๆนี้นะครับ อาจจะแปลว่า การมีความภาคภูมิในตัวเอง หรือ การเห็นคุณค่าในตนเอง ก็ได้นะครับ ซึ่งมันไม่ใช่การภาคภูมิใจแบบโอ้อวดออกมาภายนอกนะครับ แต่จะเป็นในแง่ของ ความรู้สึกภายในจริงๆ ที่ยอมรับในคุณค่าของตัวเอง ยอมรับว่าฉันก็เป็นคนอย่างนี้ ฉันสามารถทำอะไรๆสำเร็จได้ ฉันเป็นที่ยอมรับของคนอื่นได้

Low Self - Esteem ก็จึงหมายถึง การมีความภาคภูมิใจในตัวเองต่ำ ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของตนเองนั่งเอง

เคยมีความรู้สึก "ไม่มีตัวตน" ไหมครับ?
แล้ว เคยรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่ผ่านมาในชีวิตมัน "พัง" ไหมครับ ?
ตัวผมเองก็มีความรู้สึกนี้เกิดมาไม่น้อยเลย

รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวไปหมดทุกอย่างทั้ง การเรียนก็ไม่ดี การงานก็ห่วย ชีวิตสังคม...ก็ดันเป็นพวก introvert อีก เห็นคนอื่นเขามีเพื่อนเที่ยวเพื่อนกินข้าวเยอะแยะ บางทีก็อิจฉา  พอจะทำอะไรแปลกๆใหม่ๆ  คิดว่าตัวเองมีความสามารถไม่พออยู่ตลอด อยากทำแต่ก็กลัวล้มเหลว เพราะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ 
.....ทั้งๆที่ในใจจริงๆ ก็รู้ว่า ตัวเองก็ไม่แย่ขนาดนั้น ยังมีเงินพอใช้ ไม่มีหนี้ หน้าตายังดูเป็นคนปกติ เรียนก็ไม่ซ้ำชั้น นิสัยไม่แย่ขนาดสังคมประนาม มีเวลามาว่างพอมานั่งเล่นอินเตอร์เน็ต
...... และผมยังมีทรัพยากร มีโอกาสมากกว่าหลายๆคน ซึ่งหากชีวิตผมมัน "พัง" จริงๆ ป่านนี้คนอีกหลายแสนล้านคน ก็ต้องมีความรู้สึกอย่างนี้กันไปหมด แต่พวกเขาก็ดูมีความสุขกับชีวิตดี
...... แต่ความยากมันก็คือนี่แหละครับ ถามว่ารู้ตัวเองมั้ย ก็รู้ แต่มันหยุดคิดไม่ได้
...... ยิ่งมาเจอคำแนะนำพวก "เอ็งอะคิดมาก" , "เอ็งอยู่มาได้ขนาดนี้ ก็โชคดีกว่าคนในแอฟริกาตั้งไม่รู้กี่เท่า จะบ่นทำไม " ซึ่งไอ้คำแนะนำแนวๆนี้ ผมก็เข้าใจว่าเขาอาจจะหวังดีนะครับ แต่มันเหมือนกับบอกให้คนที่เป็นไข้ว่า "เอ็งจะตัวร้อนไปทำไม"
...... เคยหาข้อมูลในInternet ส่วนใหญ่ก็ดันเป็นคำแนะนำผู้ปกครองในการเลี้ยงบุตรหลานให้โตมามี Self-Esteem  ทีนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เหมือนโดนตอกย้ำว่าเอ็งพลาดมาตั้งแต่การเลี้ยงดู มาแก้ตอนนี้ก็ยากแล้ว หรือไม่งั้นก็เป็นคำแนะนำวิธีการปรับจิตต่างๆ ยาวเป็น 4-5 หน้า ซึ่งได้แค่อ่าน แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะช่วยอะไรได้จริง

ความรู้สึก Low - self esteem นี้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นอยากฆ่าตัวตายนั่นแหละครับ

แต่ก็ดันรู้อีกว่า ยังไม่ถึงเป็นขั้นของ "โรคซึมเศร้า" (low self esteem เป็นสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าได้ครับ จากข้อมูลงานวิจัย) 
คือการฆ่าตัวตายนี่ มันเหมือนกับการหนีปัญหานั่นแหละ คือในหัวมันก็คิดว่าตัวเองมันไม่มีดีอะไรซักอย่าง ครั้นจะพัฒนาตัวเอง ก็รู้สึกตัวเองแก่ขึ้นเรื่อยๆ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ กดปุ่ม reset ชีวิตตัวเองนี่แหละครับ

ซึ่งความจริงผมแอบอยากเป็นโรคซึมเศร้านะ เพราะอย่างน้อยมันก็มียารักษา แต่ไอ้ Low self-esteem นี่มันไม่มียา มันรักษาโดยการทำ "จิตบำบัด" ซึ่งฟังแค่ชื่อก็คิดว่า กินยาง่ายกว่าเยอะ

สุดท้ายผมก็ได้ตัดสินใจไปหาจิตแพทย์จริงๆนั่นแหละครับ พร้อมในใจลึกๆหวังว่าเขาจะให้ยากลับมากิน

แต่สุดท้าย ก็โดน "จิตบำบัด" กลับมา

จิตแพทย์คนนั้นให้ผมกลับมาคิดว่า เป้าหมายของชีวิตผมคืออะไร และ ผมอยากเป็นคนแบบไหน

แน่นอนว่ามันก็เป็นงานถนัดของคนintrovert นี่แหละครับ นั่งคิดเรื่อยๆ เพลินๆ เงียบๆ อยู่คนเดียว

คิดไปคิดมา มันก็เกิดดวงตาเห็นธรรม (เว่อ) แล้วความรู้สึก Low self-esteem ความรู้สึกอยากตาย มันก็หายไปเลยครับ ราวกับปิดสวิทซ์
สิ่งที่ผมคิดได้ก็คือต้นเหตุการ Low Self Esteem ของผมนั่นแหละครับ มันก็คือ

1. เสียงในหัว : เจ้าตัวนี้คอยกำกับความคิด อารมณ์ การกระทำของผมเสมอ ตอนแรกผมจะเป็นนายมัน แต่ลึกๆแล้ว มันใม่ใช่เลย เจ้าเสียงนี้เป็นคนบอกผมว่า "อย่าทำเลย ไม่สำเร็จหรอก" , "โตมาป่านนี้ ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย" , และมันยังเป็นตัวที่ทำให้ผม มีความคิด "เปรียบเทียบ" กับคนอื่นตลอดเวลา
     ประกอบกับการเป็น introvert ที่ชอบนั่งคิดอะไรในใจตลอดเวลา มันก็ยิ่งผลักดันให้ความคิดลบๆมันไหลวนในหัวไม่รู้จักจบสิ้น
2. การเปรียบเทียบ : ก่อนหน้านี้ ผมมักจะบอกตัวเองจริงๆเสมอว่า ผมไม่ชอบการเปรียบเทียบ ทุกๆคนมีคุณค่าในตัวเอง มีความเป็นปัจเจก ซึ่งเปรียบเทียบไม่ได้ ..... แต่ลึกๆแล้ว ผมกลับชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นเสมอๆ ยิ่งปัจจุบันเวลา Slide facebook ทีไร ก็จะมีรูปของเพื่อนๆที่มีผลงานมาอวดมากมาย หรือแค่มี caption ชีวิตดี เจอแบบนี้ถี่ๆนานๆเข้า มันก็อดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไม่ได้นั่นแหละครับ ความอยากมันก็ผุดขึ้นมามากมาย อยากเก่งกว่านี้ อยากเข้าสังคมเก่งกว่านี้ อยากพูดเก่งกว่านี้ อยากมีผลงานเจ๋งๆในชีวิตบ้าง ซึ่งความคิดเหล่านี้ ยิ่งทำให้ผมมองคุณค่าในตัวเองต่ำไป
    การเปรียบเทียบนี้ก็หมายรวมถึงกับคนที่ดู"ด้อย" กว่าเราด้วยแหละครับ ซึ่งเมื่อมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าเราจะเก่งกว่าคนอื่นยังไง ท้ายที่สุดมันก็ต้องมีคนเก่งกว่าเรา ดีกว่าเรา เสมอ 

ซึ่งพอมาคิดถึงต้นเหตุปัญหาได้จริงๆ ผมว่ามันเหมือนกับเราก็จะหาทางออกได้เองนั่นแหละครับ ก็คือการ "หยุดคิด" มีสติกับตัวให้มากขึ้น รู้ทันเสียงในหัวให้มากขึ้น ไม่เปรียบเทียบกับใคร คิดแค่ว่าเป้าหมายตัวเองคืออะไร และจะทำอะไรให้ได้มันมา "ทำ" มากขึ้น กลัวความ"ล้มเหลว" ให้น้อยลง

จะเห็นว่าการแก้ปัญหาที่ผมคิดได้นั้น มันก็ไม่ได้วิเศษอะไรเลย คุณไปหาบทความไหนๆมันก็มีเขียนแหละครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การที่คุณต้อง"รู้ให้ได้แน่จริงๆ" ว่า ต้นเหตุความ Dark side ของคุณนี้มันเกิดจากอะไร

แล้วสิ่งนี้มันก็จะผ่านไปครับ







9 สัญญาณที่บอกว่าคุณ...เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงแน่ๆ



1. คุณมีความสุข เวลาที่ได้อยู่ตัวคนเดียว

บ่อยครั้งเมื่อคุณมีเวลาว่างจากการทำงาน การเรียน หรือช่วงวันหยุด คุณรู้สึกได้ว่าตัวเองมีความสุขมากเวลาไปกับการนั่งอ่านหนังสือ เล่นเกม ฟังเพลงเพลินๆเรื่อยๆ มากกว่าออกไปทำกิจกรรมข้างนอก ซึ่งช่วงเวลาที่คุณได้อยู่ตัวคนเดียวแบบไม่มีใครรบกวนนี้ เป็นเหมือนดั่งการชาร์จแบตเตอรี่ของคุณ เป็นช่วงเวลาที่คุณโหยหาอยู่เสมอ

2. สมองคุณจะโลดแล่นมากที่สุด เมื่อได้อยู่ตัวคนเดียว

คุณสามารถทำงานกลุ่มได้ สนทนาอภิปรายกันในการประชุมได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องการไอเดียเจ๋งๆ ไอเดียที่สร้างสรรค์ คุณรู้ตัวว่าคุณต้องการเวลาส่วนตัวที่จะไปนั่งคบคิดถึงมัน ปล่อยให้ความคิดไหลไปเรื่อยๆ

3. คุณเป็นผู้นำได้...แต่คนอื่นๆก็ต้องactiveหน่อยนะ

คนที่มีโลกส่วนตัวสูงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเงียบๆ ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าที่จะนำเสนอตนเองเป็นผู้นำคนอื่น ในบางสถานณ์การนั้น ผู้นำที่เป็น introvert นี่แหละที่ดีที่สุด (ตัวอย่างเช่น Warren Buffett, Abraham Lincoln, Charles Darwin, Mahatma Gandhi)
อย่างไรก็ตาม คุณจะเป็นผู้นำได้ดี ก็ต่อเมื่อคนในกลุ่มแต่ละคนนั้นมีแรงกระตุ้นในตัวอยู่บ้าง ถ้าหากคุณไปเจอคนในกลุ่มแบบนั่งรอฟังคำสั่ง ไม่อยากทำอะไร ก็จะเหนื่อยสำหรับคุณหน่อยที่จะต้องไป Spark คนเหล่านั้น ซึ่งถึงเวลานั้นก็อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคุณที่เป็น Extrovert หน่อยนะ

4.เวลาทำงานกลุ่ม หรือประชุมงาน คุณมักจะเป็นคนสุดท้ายที่จะแสดงความคิดเห็น

ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน ที่ทำงาน ในกลุ่มเพื่อน เวลามีใครขอให้ออกความคิดเห็น คุณมักจะเป็นคนท้ายๆที่มีส่วนร่วมกับเขา และบ่อยครั้งคุณก็ไม่อยากพูดอะไร ให้เพื่อนที่เขาเป็น Extrovert พูดไปซะ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคน introvert จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร เขาแค่รุ้สึกว่าคนมันเยอะวุ่นวายเหลือเกิน รู้สึกไม่ได้ต้องการออกหน้าออกตาอะไร

5. ในทำนองเดียวกัน คนอื่นๆในกลุ่มก็มักจะถามความคิดเห็นของคุณอยู่เสมอๆ

เนื่องจากคน introvert ก็มักจะมีนิสัยไม่ค่อยชอบไปออกหน้าออกตาในที่สาธารณะอยู่แล้ว พวกเขาก็เลยไม่ชอบให้ความเห็น หรือคำแนะนำเวลาอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หรืออยู่ในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกันในครอบครัวช่วงกินข้าว หรือการประชุมกลุ่ม Staff , พวกคน introvert นี้จะชอบคิดเรื่อยๆเพลินๆอยู่ในใจ เก็บมุมมองของตัวเองไว้ ปล่อยให้ Extrovert เขาถกเถียงกันไป
ด้วยพฤติกรรมอย่างนี้ จึงไม่แปลกเลย ที่มักจะมีคนหันมาถามคุณเสมอๆว่า "คุณคิดว่าไงล่ะ"

6. คุณมักจะใส่หูฟังอยู่เสมอ เวลาอยู่ในที่สาธารณะ

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือเดินบนย่านที่ผู้คนพลุกพล่าน เนื่องจาก introvert ไม่ค่อยให้ความสนใจผู้คนรอบข้างอยู่แล้ว และก็ไม่อยากจะยุ่งกับคนแปลกหน้า หรือบางครั้งคุณก็จะเดินก้มหน้าก้มตา รีบจ้ำไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด

7. คุณไม่ค่อยอยากจะไปยุ่งกับคนที่กำลังโกรธ หรือโศกเศร้า

คุณมักจะพยายามหลีกเลี่ยงผู้คนที่กำลังมีอารมณ์ไม่ดี จากงานวิจัยของคณะนักจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยลอนดอน พบว่า ผู้คนที่มีความเป็น introvertสูง มักจะล้มเหลวในการแสดง "Gaze-cueing effect"
(Gaze-cueing effect คือปรากฏการที่ สมมติว่าคุณกำลังจ้องหน้าคุยกับเพื่อนอยู่ เวลาที่เพื่อนคุณกลอกตาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง คุณจะกลอกตาตามไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งได้มีการทดสอบปรากฏการนี้โดยให้ผู้ถูกทดสอบนั่งมองภาพหน้าคนในจอคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนรูปดวงตามองซ้าย-ขวาได้ แล้วก็สุ่มจุดเล็กๆออกมา ซึ่งพบว่าผู้ถูกทดสอบจะตอบสนองต่อภาพจุดที่ปรากฏได้แม่นยำและไวกว่า หากภาพจุดนั้นออกมาในซีกเดียวกันกับซีกที่ตาในจอจ้องอยู่)
โดยปกติแล้วคน Introvert ก็แสดง effectนี้เหมือนกับ extrovert เพียงแต่เขาพบว่า หากหน้าตาคนๆนั้นดูกำลังโมโหหรือเสียใจอยู่ คนintrovertมากๆ มีกจะไม่แสดง effect นี้ (ก็คือจะหลบสายตานั่นเอง) เนื่องจากคน introvert มักมีความ Highly reactive อยู่แล้ว การไปมองตาของคนที่กำลังโกรธนั้น คน extrovert ก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่introvert มากๆ บางทีจะรู้สึกว่าเป็นสายตาข่มขู่ ดูน่ากลัวไปเลย

8. แต่ละวันคุณจะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นสื่อสารกับใคร คุณจะเป็นพวกรับโทรศัพท์ รับข้อความ เสียมากกว่า ยกเว้นคุณอยู่ในสถานการณ์หรืออาชีพที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารบ่อยจริงๆ

คน introvert มักไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับแวดวงสังคมอื่นๆนัก หากเขามีเวลาว่าง การได้ "Socialize" (เข้าสังคม) ไม่ว่าจะเป็นการกดมือถือ ส่งข้อความนั้น ลืมไปได้เลยกับคนกลุ่มนี้ แต่หากเขาเป็นฝ่ายได้รับการติดต่อมาก่อน เขาก็จะมีการตอบกลับเเบบคนปกตินี่แหละ และยิ่งหากคนมีความ introvert มากๆล่ะก็ การทำงาน ทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการพบปะสื่อสารกับผู้คนจำนวนมาก ยิ่งเป็นฝันร้ายของคุณเลย

แต่หากคุณมีความจำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มสื่อสารกับใครล่ะก็ เครื่องมือที่คุณจะใช้ก็มักจะเป็นการส่งข้อความ การใช้ Social network มากกว่าการโทรศัพท์โดยตรง

9. คุณไม่ชอบเปิดการสนทนากับคนแปลกหน้า ไม่ชอบปรึกษาปัญหากับคนที่คุณไม่รู้สึกสนิทจริงๆ

มันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับคุณ ที่จะเป็นคนที่ชวนคนอื่นคุยไปทั่ว แม้จะเป็นคนแปลกหน้า นั่นทำให้เวลาคุณไปอยู่ในสถานที่ใหม่ๆ คุณมักจะอยู่เงียบๆไปก่อน อาจจะทักคนบ้างเมื่อโอกาสเหมาะจริงๆ 
และหากคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ คุณก็จะมักเก็บเรื่องนั้นไว้คนเดียวแล้วปล่อยให้หัวของคุณจัดการปัญหา อารมณ์นั้นซะ ซึ่งหากไม่ใช่คนที่สนิทกับคุณจริงๆ ก็อย่าหวังเลยที่คุณจะบอกเล่าอารม์ความรู้สึก ปัญหาชีวิตของคุณให้เขาฟัง เพราะคุณก็มักจะคิดว่า "เรื่องของตัวเอง ใครเขาจะไปสนใจหละ".

Tuesday 1 December 2015

คนขี้อาย กับ คนมีโลกส่วนตัวสูง ต่างกันอย่างไร?

บิล เกตส์ มีบุคลิกเป็นคนเงียบๆ เป็นหนอนหนังสือ แต่ผู้คนที่รู้จักคำ ก็จะให้นิยามว่าเขาเป็น introvert แต่ไม่ใช่คนขี้อาย

คนที่พูดในที่สาธารณะชนเก่งๆ ก็อาจเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครก็ได้
ในทางกลับกัน คนที่ชอบไปเที่ยวสังสรรค์ ชอบอยู่กับเพื่อนฝูง พอให้ออกไปพูดนำเสนอผลงาน ก็มือไม้สั่น พูดจาตะกุกตะกักได้
ความขี้อาย และ ความมีโลกส่วนตัวสูง เป็นสิ่งที่แตกต่างกัน
ความขี้อาย คือ ความกลัวว่าจะถูกสังคมตัดสินในแง่ลบ ในขณะที่การมีโลกส่วนตัวสูง หมายถึงการชอบอยู่ในที่เงียบๆ สภาพแวดล้อมที่ไม่วุ่นวาย เนื่องจากเขาเหล่านี้มักจะมีความไวต่อตัวกระตุ้นสูง ( Highly reactive) หากได้รับการกระตุ้นมากๆเข้า ก็จะรู้สึกหมดพลัง หนึ่งในตัวกระตุ้นนั้นก็คือ การอยู่กับผู้คนมากๆ
Introvert ไม่จำเป็นต้องเป็นคนขี้อาย (Shy)
อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยาก็ค้นพบว่า ความขี้อาย และความมีโลกส่วนตัวสูงนี้ มีความเหลื่อมล้ำกันได้
คนที่ขี้อายอาจจะพัฒนานิสัยโลกส่วนตัวสูงนี้มากขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป เพราะการเข้าสังคมทำให้พวกเข้าเจ็บปวด และเขาได้รับความพึงพอใจในการอยู่คนเดียวมากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน คนที่โลกส่วนตัวสูง ก็อาจจะยิ่งเป็นคนขี้อายมากขึ้น หากเขาได้รับการตัดสินจากสังคมเรื่อยๆว่า เขาเป็นคนไม่ปกติ
น่าเศร้า ที่ด้วยความเข้าใจของคนในสังคมส่วนใหญ่ ก็มักจะเหมารวมนิสัยที่แตกต่างกันนี้ เป็นสิ่งเดียวกัน และไม่ว่าจะคุณจะเป็น Introvert หรือ คนขี้อาย ก็ดูจะเป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์เสียเท่าไหร่ มีการศึกษาพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าคนที่พูดเก่ง พูดเร็วนั้น เป็นคนที่มีความสามารถมากกว่า มีเสน่กว่า รวมไปถึงฉลาดกว่า คนที่พูดช้าๆ พูดไม่เก่ง

บทความนี้สรุปความมาจากข้อเขียนของ Susan Cain : Are You Shy, Introverted, Both, or Neither (and Why Does It Matter)?

คนโลกส่วนตัวสูง (Introvert) คืออะไร ?

เคยมีความรู้สึกอย่างนี้ไหมครับ
อยากอยู่คนเดียว มากกว่าออกไปพบปะผู้คน
อยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากพูดคุยกับใคร
มีความสุขที่จะได้นั่งอ่านหนังสือที่บ้านเงียบๆ หรือเล่นคอมไปเรื่อยๆ มากกว่าออกไปงานสังสรรค์
แล้วเคยรู้สึกไหมครับ ว่าบางครั้ง สังคมภายนอกก็ตัดสินเราไปแล้วว่า
เราเป็นคนไม่มีสังคม ไม่ค่อยมีเพื่อน
เราเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี
เราพูดน้อย ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นอะไร เงียบๆ ไม่โดดเด่น
เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลก แปลกแยกจากสังคมไหมครับ?
หากคุณเคยมีความรู้สึกอย่างนี้บ้าง คุณอาจจะเป็นคนประเภท มีโลกส่วนตัวสูง หรือ Introvert ครับ
"ในโลกที่การได้ออกไปพบปะกับผู้คน การเข้าสังคม ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเหนือสื่งอื่นใด การใช้ชีวิตเป็นคนเงียบๆ มีโลกส่วนตัวสูง ก็กลายเป็นสิ่งที่ยากลำบาก และดูน่าละอาย"
ประโยคข้างต้นนี้ เป็น intro ของ TED talk ของ Susan Cain: The power of introverts ซึ่งเป็น TED talk ที่ติด 1 ใน 20 ตลอดกาล
Susan Cain ได้เล่าว่า เธอเติบโตมาในครอบครัวที่ทุกๆคนชอบนั่งอ่านหนังสือที่บ้าน ไม่ชอบออกไปไหน แต่เมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอก็ค้นพบว่าการชอบอ่านหนังสือ ไม่ค่อยเข้าสังคม ดูจะเป็นสิ่งที่ผู้คนรอบๆตัวเธอกังวลใจ สุดท้ายเธอจึงต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนชอบเฮฮาปาตี้ เลือกมาเป็นทนายความแทนอาชีพนักเขียนที่เธอฝันไว้ตอนเด็ก ส่วนหนึ่งเพื่อยืนยันกับคนรอบข้างว่า เธอไม่แปลกประหลาด ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แม้ลึกๆแล้ว เธอจะรู้สึกมาเสมอว่า การกระทำที่ว่านั้น มันขัดกับตัวตนที่แท้จริงของเธอมาตลอด
เธอกล่าวว่า 1 ใน 3 ของประชากรในโลกนี้ มีบุคลิกแบบ introvert (โลกส่วนตัวสูง)
Introvert นั้นมีความหมายต่างกับ Shy (ความอาย) ความอายคือความกลัวว่าจะถูกสังคมมองไม่ดี (Fear of Social judgement) แต่ introvert มีความหมายในแง่ที่ว่า วิธีที่คนๆหนึ่ง จะตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นอย่างไร
ซึ่งนั่นรวมถึงความรู้สึกได้รับการกระตุ้นจากการได้เข้าสังคม (Social stimulation)
แน่นอนว่า Extrovert (คนที่ชอบเข้าสังคม) จะต้องการตัวกระตุ้นนั้นอย่างมาก พวกเข้าจึงมีความสุข และเป็นธรรมชาติ เมื่อได้อยู่กับผู้คนเยอะๆ ได้พูด ได้แสดงออก ในขณะที่ introvert ดูจะมีความสุข ทำงานได้ดี ก็ต่อเมื่อเขาได้อยู่ในที่เงียบๆ คนไม่พลุกพล่าน มี Space ส่วนตัวอย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครในโลก ที่จะเป็นแบบ Pure Introvert หรือ Pure Extrovert
บางครั้ง Introvert ก็อยากออกไปปาร์ตี้ ไปเจอผู้คน บางครั้ง introvert ก็มีความสุขที่ได้พูดคุยนานๆ เป็นชั่วโมงๆ เมื่อเจอคู่คุยที่ถูกใจ
แต่สภาพสิ่งแวดล้อม สภาพสังคมในปัจจุบันนี้ กลับไม่ให้ความสำคัญในความแตกต่างนี้มากนัก Extrovert ดูจะได้แต้มต่อมากกว่า Introvert
ลองนึกถึงสภาพสังคมในสถานที่ต่างๆนะครับ ไม่ว่าจะเป็น
ที่โรงเรียน ที่เน้นการทำงานเป็นทีม การนำเสนอผลงานหน้าชั้น การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เด็กที่เงียบๆก็จะมักจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเก็บกด ไม่มีเพื่อน หรือ
ในที่ทำงาน คนที่โดดเด่น และได้เป็นหัวหน้างาน ส่วนใหญ่ก็คือคนที่มีบุคลิกชอบพูด พูดเก่ง มีเสน่ห์ ตอนประชุม หากหัวหน้างานเป็นคนเงียบๆ ก็คงไม่มีให้เห็นบ่อยนัก
หนังสือแนวฮาวทู หรือ Self-help ขายดีต่างๆ ก็มักจะเกี่ยวกับทักษะในการเข้าสังคม นั่นรวมไปถึงพวก Course ปรับบุคลิกภาพต่างๆ ที่เน้นให้คุณเป็นคนมี Power
แล้ว Introvert ควรจะมีตัวตนอย่างไร ในโลกที่ผู้คนไม่เคยหยุดพูดนี้?
สำหรับคนที่รู้สึกต้องการค้นหาตัวตน รู้สึกว่านิสัยการมี ‪#‎โลกส่วนตัวสูง‬ เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต รู้สึกแปลกแยก ผมแนะนำให้ฟัง Talk นี้นะครับ อาจจะทำให้พบคำตอบ ความหมายของชีวิตคุณมากขึ้น และทำให้รู้สึกว่า "เราก็ไม่ได้เป็นคนแปลกอะไร"